
![]() |
ปัญหาค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์
จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย ( จุลินทรีย์ที่มีประโยชนชน์ในการย่อยสลายของเสีย ) คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการบำบัดน้ำเสียและในระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบ เป็นตัวจักรที่สำคัญและมีบทบาทมากที่สุดในการบำบัดน้ำเสียจากทุกๆแหล่งและทุกๆระบบบำบัด ปัญหาใหญ่ของการบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียในทุกๆระบบก็คือ ปัญหาค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์กำหนด เป็นปัญหาที่ทุกๆระบบบำบัดน้ำเสียไม่พึงปรารถนา และยังเป็นปัญหาที่พบมากที่สุด หรือแทบเกือบจะทุกแห่ง โดยเฉพาะอาคารชุดคอนโดมิเนี่ยมและอาคารสำนักงานทั่วๆไป โรงแรม รีสอร์ท ฯลฯ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ? ขอให้ท่านอ่านบทความค่อไปนี้ให้จบ เพื่อท่านจะได้รู้ถึงที่มาและสาเหตุของค่ามาตรฐานน้ำทิ้งระบบบำบัดน้ำเสียของท่านไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดของทางราชการ จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ? และจะทำการแก้ไขอย่างไร ? ค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งเป็นค่าที่ถูกกำหนดขึ้นโดยส่วนราชการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งค่ามาตรฐานน้ำทิ้งแต่ละแหล่งอาจจะไม่เท่ากันหรือเท่ากันเป็นบางค่า เช่น ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากอาคารชุดและอาคารสำนักงานทั่วๆไป ( ด้านล่าง ) ตัวอย่างค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากอาคารสำนักงานประเภทต่างๆ ( ภาพบน ) ค่าพารามิเตอร์มาตรฐานน้ำทิ้งแต่ละค่าจะแตกต่างกันออกไปตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมกำหนดขึ้น ระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบจะมีค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจากส่วนกลางเป็นเกณฑ์มาตรฐาน น้ำเสียที่บำบัดในระบบบำบัดน้ำเสียของท่านมีค่ามาตรฐานน้ำทิ้งแต่ละค่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงไม่ผ่านเกณฑ์เป็นจำนวนมาก ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์ถ้ามีการปล่อยทิ้งออกสู่สิ่งแวดล้อมอาจสร้างปัญหา ทั้งมลภาวะและมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมสาธารณะได้ทุกเมื่อ ที่มาหรือสาเหตุของค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์มาจากสาเหตุใด ? ระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยที่ติดตั้งอยู่ในแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่มากกว่า 90% เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศหรือ AS ( Activated Sludge ) ระบบนี้จะมีส่วนสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนของการเติมอากาศ ( บ่อเติมอากาศ ) และส่วนการตกตะกอน ( บ่อตกตะกอน ) ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศนี้จะใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียในระบบบำบัดเป็นหลัก และเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ จุลินทรีย์กลุ่มนี้ต้องการออกซิเจนในการดำรงชีพและการเจริญเติบโตขยายเซลล์รวมถึงการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสีย ถ้าในน้ำเสียนั้นปราศจากอากาศออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำเสียแล้ว ก็จะไม่มีจุลินทรีย์กลุ่มนี้ทำงานย่อยสลายของเสีย ( ขาดอากาศออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำเสียไม่ได้ ) ถ้าไม่มีออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำเสียเลย จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะตายยกบ่อบำบัดน้ำเสียได้ทุกเวลา นี่คือเหตุผลที่ต้องมีการเติมอากาศออกซิเจนลงในบ่อเติมอากาศ ( ในระบบบำบัดน้ำเสีย ) ในบ่อบำบัดน้ำเสียจุดที่มีการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียเกิดขึ้นมากที่สุดก็คือ บ่อเติมอากาศนี่เอง เพราะจุดนี้จะมีปริมาณกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ( จากการเติมอากาศให้น้ำเสีย ) จึงส่งผลให้ปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสียเกิดขึ้นมากตามไปด้วย ยิ่งปฏิกิริยาการย่อยสลายของเสียเกิดขึ้นได้สมบูรณ์มากเท่าใด ก็จะส่งผลดีต่อค่ามาตรฐานน้ำทิ้งโดยตรง ในทางตรงกันข้าม ถ้าของเสียในน้ำเสียมีมาก ( มีสสารทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์เจือปนมาก ) ในขณะที่ปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียในบ่อเติมอากาศมีปริมาณน้อย ( เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของน้ำเสีย ) ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่ามาตรฐานน้ำทิ้งสูงขึ้นทันที เพราะของเสียต่างๆในน้ำเสียนั้นๆถูกย่อยสลายน้อย ของเสียส่วนใหญ่ยังคงไม่ได้รับการบำบัดที่สมบูรณ์ก่อนปล่อยทิ้งออกสู่สิ่งแวดล้อม ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจึงไม่ผ่านเกณฑ์กำหนด จะเห็นได้ว่า ตัวแปรที่สำคัญที่สุดในกระบวนการบำบัดน้ำเสียในระบบบำบัดก็คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียนั่นเอง ถ้ามีปริมาณมากเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสียก็จะเกิดปัญหาค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง ค่าต่างๆไม่ผ่านเกณฑ์ ( น้ำเสียที่บำบัดในระบบบำบัดยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้ำทิ้ง ) ข้อควรปฏิบัติและควรระวังในการบำรุงและรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย - ทำความสะอาดระบบอย่างสม่ำเสมอ Reboot ระบบอย่างน้อยปีละครั้ง - หมั่นตรวจเช็คระบบแต่ละจุดอยู่เป็นประจำ - อย่าให้สารเคมีที่เป็นกรดหรือด่างที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือทำลายล้างสูงเข้าสู่ระบบ เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ในระบบตายยกบ่อได้ตลอดเวลา - หมั่นตรวจสอบค่า BOD และค่า DO ประจำวัน เพราะจะทำให้รู้ถึงสุขภาพของระบบบำบัดน้ำเสียว่ายังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ ค่า BOD และ ค่า DO เป็นตัวบอกสัญญาณของระบบบำบัดได้ดี ถ้าค่า BOD >= 100 mg/l คือน้ำเน่าเสีย และถ้าค่า DO ต่ำกว่า 2 mg/l น้ำเริ่มเน่าเสีย จุลินทรีย์กลุ่มที่ใช้ออกซิเจนในการดำรงชีพอยู่ไม่ได้ จะทำให้การแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา - เช็คความหนาแน่นของปริมาณจุลินทรีย์ ( ถ้าทำได้ ) แต่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้ทักษะขั้นสูง - หมั่นตรวจเช็คเครื่องเติมอากาศอยู่เป็นประจำ การเติมอากาศทำได้ทั่วถึงทั้งบ่อหรือไม่ กำลังวัตต์หรือกำลังแรงม้าในการเติมอากาศเพียงพอหรือไม่ การกระจายออกซิเจนทั่วถึงทั้งบ่อและก้นบ่อหรือไม่ สภาวะของน้ำเสียเป็นกรดหรือด่าง ถ้าค่า pH ต่ำมากๆจะส่งผลให้จุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนในระบบตายเกลี้ยงบ่อได้ ค่าพารามิเตอร์ที่ควรตรวจวัดเป็นประจำวัน เช่น BOD , DO และ pH โดยใช้เครื่องวัดดิจิตอลเป็นเครื่องมือ ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้ออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 6 - 8 น้ำเสียที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่การบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียเราสามารถควบคุมได้ ถ้าไม่มีการควบคุมเลยหรือการควบคุมและการดูแลบำรุงรักษาหละหลวมก็จะได้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์ติดตามมา แต่ในบางกรณีในระบบบำบัดน้ำเสียก็มีข้อจำกัดบางประการเกิดขึ้น เช่น การออกแบบระบบตั้งแต่แรกมีปัญหาออกแบบไม่เหมาะสม พื้นที่จำกัดไม่เหมาะกับการวางระบบ ระบบเก่าไม่มีคนดูแลและบำบรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง ทางที่ดีวางระบบการบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด ปรังปรุงและแก้ไขระบบเดิมให้ดีขึ้นในแต่ละจุดที่มีปัญหา เพื่อฟื้นฟูทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพกลับมาเดินระบบใหม่อีกครั้ง ซึ่งสามารถทำได้ สรุปที่มาหรือสาเหตุของปัญหามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์กำหนด - ปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียในระบบมีน้อย - สิ่งแวดล้อมในระบบนั้นๆไม่เอื้อต่อการดำรงชีพของจุลินทรีย์ - การย่อยสลายของเสียในระบบเกิดขึ้นน้อย - เครื่องจักรกลบกพร่องหรือด้อยประสิทธิภาพ - ขาดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แล้วจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ? ทางเลือกที่ 1. เพิ่มประสิทธิภาพบ่อเติมอากาศให้เต็มประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การย่อยสลายเกิดมากที่สุดและสมบูรณ์มากที่สุด 2. เพิ่มหรือเติมปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายเข้าไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจน เพื่อเพิ่มอัตราการย่อยสลายของเสียให้มากขึ้นและเร็วขึ้น ให้เหลือกากตะกอนส่วนเกิน ( Excess Sludge ) เหลือน้อยที่สุดหรือแทบไม่เหลือเลยยิ่งเป็นการดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่ามาตรฐานน้ำทิ้งโดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียด้วย จุลินทรีย์หอมคาซาม่า กลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสีย สามารถทำงานได้ทั้งในสภาวะไร้อากาศและมีอากาศ ( ทำงานย่อยสลายของเสีย ) ซึ่งเป็นการลดภาระการทำงานของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลัก จากภาพบนจะเห็นได้ว่า เมื่อเติมจุลินทรีย์หอมคาซาม่าลงในบ่อน้ำเสียบ่อที่ 1 ปฏิกิริยาการย่อยสลายของเสียในน้ำเสียเกิดขึ้นทันทีก่อนที่จะผ่านต่อไปยังบ่อเติมอากาศ( บ่อที่ 2 ) จะเห็นได้ว่าการบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียในน้ำเสียเกิดขึ้นสองชั้น ( Double Treatment ) ของเสียถูกย่อยสลายได้มากขึ้น ปฏิกิริยาการย่อยสลายเร็วขึ้น ทำให้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งในบ่อตกตะกอนลดลง ( บ่อที่ 3 ) ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งผ่านได้ง่ายขึ้น ตะกอนส่วนเกิน ( Excess Sludge ) ก็จะน้อยลง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายของเสียในน้ำเสียให้ดีมากยิ่งขึ้น ของเสียต่างๆในน้ำเสียจึงถูกปฏิกิริยาย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ทั้งสองกลุ่มในบ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 ตามลำดับ ปฏิกิริยาการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน( สีฟ้าบน) และกลุ่มจุลินทรีย์หอมคาซาม่าไม่ใช้ออกซิเจน (สีเขียวอ่อนด้านล่าง ) ของเสียและน้ำเสียจะแปรเปลี่ยนรูปไปเป็นตามสมการนี้ ==> น้ำ + พลังงาน + CO2 +CH4 ยิ่งจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียต่างๆได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ 100 % จะเหลือสสารตามสมการนี้ ==>> น้ำ + พลังงาน + CO2 +CH4 จะเห็นได้ว่าจากปฏิกิริยาการย่อยสลายที่สมบูรณ์ของจุลินทรีย์ย่อยสลายจะไม่เหลือของเสียเลย แต่ในความเป็นจริงย่อยสลายได้ไม่หมดสมบูรณ์ 100% อาจจะมีตะกอนละเอียดตกค้างบ้างบางส่วน ถ้าจะให้สมบูรณ์ 100% ต้องบำบัดซ้ำหลายๆครั้งและหลายๆชั้นการบำบัด ซึ่งค่อนข้างยากไปอีกขั้นหนึ่ง ต้องใช้งบลงทุนค่อนข้างสูง เพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสียและเสริมประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียด้วย จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ได้ประโยชน์ทั้งการบำบัดน้ำเสียและการกำจัดกลิ่นในเวลาเดียวกัน สั่งซื้อจุลินทรีย์หอมคาซาม่าจากที่นี่ ท่านจะได้ที่ปรึกษาฟรีๆ ให้คำแนะนำทางด้านเทคนิคต่างๆในระบบบำบัดน้ำเสียฟรีๆ ตลอดระยะเวลาที่สั่งซื้อ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งคำปรึกษา ช่วยประหยัดงบประมาณค่าที่ปรึกษาในแต่ละครั้ง
ดูแต่ละหัวข้อ กรุณาคลิกที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้
|